10 เหตุผลที่ราคา Bitcoin จะสูงขึ้นถึง 100,000$

10 เหตุผลที่ราคา Bitcoin จะสูงขึ้นถึง 100,000$

บิทคอยนั้นถือกำเนิดมาตั้งแต่ปี 2009 เป็นปีที่สหรัฐกำลังเกิดวิกฤตด้านการเงินอยู่พอดี ซึ่งบิทคอยก็ได้ถือกำเนิดขึ้น ประวัติศาสตร์และเศรษฐศาสตร์เป็นเรื่องที่น่าสนใจ โดยเฉพาะเรื่องการเงิน ถ้าผู้อ่านยังไม่รู้ว่าบิทคอยคืออะไร แนะนำให้อ่านบทความนี้ ซึ่งเป็นภาษาอังกฤษผมยังไม่ได้แปลไว้นะครับ เอาไว้โอกาสหน้าก็แล้วกัน What is bitcoin?

1)ราคาของบิทคอยได้รับความเสถียรภาพมากขึ้นกว่าที่เคย
ในช่วง 1-5 ปีมานี้ราคาบิทคอยได้แสดงให้เห็นถึงความมีเสถียรภาพมากขึ้นเป็นประวัติการณ์ บิทคอยนั้นเป็นเครื่องมือทางการเงิน ที่กำลังได้รับความนิยมและมีขนาดของตลาดที่ใหญ่มาก ความผันผวนของราคาบิทคอยนั้นถือว่าลดลงมากจากเมื่อก่อน นับได้ว่าตอนนี้มีความเสถียรภาพมากกว่าดัชนีอัตราการแลกเปลี่ยนเงินดอลล่าและเงินเยน หรือทองคำเสียอีก
2. ระบบเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ไม่แน่นอน
ความไม่แน่นอนของระบบเศรษฐกิจก็เป็นเรื่องสำคัญของดังชนีอัตราแลกเปลี่ยนของประเทศนั้นๆ การที่ระบบเศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับสงครามเย็นด้วยการทำสงครามค่าเงินกันอยู่นั้นก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เกิดความเชื่อมั่นลดลงตามไปด้วย มันเหมือนหัวก้อยที่เราก็ไม่รู้ว่าหวยจะออกทางไหน
3. อัตราการเกิดใหม่ของบิทคอยนั้นน้อยลง
บิทคอยมีหลักคิดอยู่อย่างหนึ่งเพื่อให้เกิดมาแก้ไขปัญหาอัตราเงินเฟ้อนั่นก็คือการ (Halving) ถ้าให้ผมอธิบายผมจะขอสรุปสั้นๆก็แล้วกันนะครับให้เกิดความเข้าใจดังนี้
บิทคอยนั้นได้มีการกำหนดจำนวนของบิทคอยตั้งต้นทั้งหมดในระบบไว้แล้วครับ ซึ่งบิทคอยนั้นถูกให้กำหนดไว้ทั้งหมดคือ 21 ล้าน BTC และจะถูกมอบให้เป็นรางวัลสำหรับการขุดเหมือง (Bitcoin Mining)
การ Halving คือการปรับลดอัตราการให้รางวัลการขุดเหมืองใหม่ ทำให้บิทคอยที่จะเกิดขึ้นในระบบนั้นน้อยลงครับ บิทคอยจะเกิดขึ้นนั้นจะเกิดจากการทำเหมืองเท่านั้น (Miners) เปรียบเทียบกับการขุดทองคำที่หาได้ยากมากขึ้นนั่นเองครับ
ซึ่งมีการกำหนดเวลาไว้ล่วงหน้าแล้วในอนาคต โดยเฉลี่ยจะเกิดขึ้น 4 ปี ต่อ 1 ครั้งและจะมีการลดจำนวนลงโดยการหาร 2 ครับ โดยในปี 2009 สมัยบิทคอยได้ถือกำเนิดเริ่มต้นที่ 50 BTC ครับ ตอนนี้ปี 2016 ที่ผมกำลังเขียนบทความนี้อยู่คือ 12 BTC ครับ นั่นหมายความว่าบิทคอยได้ทำ Halving มาแล้ว 2 ครั้งนั้นเอง
การเกิด Halving จะส่งผลต่อราคาบิทคอยเนื่องจากอัตราผลตอบแทนของการขุดบิทคอยในปริมาณที่ลดลงหมายถึงการที่ต้นทุนที่สูงขึ้นสำหรับเหมืองแร่ครับ (Miners) และประกอบกับปัจจัยอื่นๆด้วย
4. การมีมุมมองที่ดีจากประวัติศาสตร์และความน่าดึงดูดของกราฟ
กราฟราคาปัจจุบันนั้นมีความคล้ายคึงกับสถานการณ์ก่อนหน้านี้ในช่วงปี 2013 ซึ่งราคานั้นสูงถึงกว่า 1,100 ดอลลาร์ในเดือนธันวาคม 2013 และผ่านช่วงการล่มสลายของตลาดแลกเปลี่ยนบิทคอยขนาดใหญ่อย่าง Mt.Gox ที่มีข่าวการโดนแฮคและทำให้ราคาบิทคอยนั้นตกต่ำมากถึง 200 ดอลล่าสหรัฐนับว่าทำให้ราคาบิทคอยสูญเสียความเชื่อมั่นอย่างมาก และตอนนี้ก็ได้เริ่มกลับมาราคาสูงขึ้นอีกครั้ง จากความเชื่อมั่นที่กลับคืนมา
การพัฒนาของราคาของ Bitcoin ได้ซ้ำแล้วซ้ำอีกรูปแบบคล้ายกันหลายครั้ง แต่นั่นไม่ได้พิสูจน์ให้เห็นรูปแบบเดียวกันจะทำซ้ำในอนาคต แต่จะเพิ่มโอกาสในการที่มันเกิดขึ้นอีกครั้ง กราฟราคาในขณะนี้คือลักษณะคล้ายกันมากกับสิ่งที่จะมีโอกาสที่จะเพิ่มขึ้นของราคาครั้งใหญ่แบบในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งมันค่อนข้างน่าสนใจ
5. มีความเป็นไปได้สูงที่จะใช้บิทคอยแทนเงินในปัจจุบัน
ในบางส่วนของยุโรปนั้นได้มีการนำบิทคอยมาใช้จ่ายและแลกเปลี่ยนแทนเงินสดกันได้แล้ว พักหลังๆเริ่มมีการเคลื่อนไหวมากขึ้น ถึงแม้ว่าการปฏิวัติวงการเงินดิจิตอลที่จะนำไปสู่การปรับปรุงลักษณะการใช้งานของระบบเงินเดิมในปัจจุบันแต่ฉะนั้นก็ยังมีปัญหาอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอัตราเงินเฟ้อที่ถีบสูงขึ้นเรื่อยๆ และเรื่องการขาดความเป็นส่วนตัวของระบบเงินดิจิตอลอยู่
ระบบบิทคอยนั้นเป็นระบบ Decentralized Distribution System โดยระบบจะกระจายข้อมูลโดยไร้ศูนย์กลางควบคุม (Blockchain) ซึ่งจะไม่มีผู้ใดผู้หนึ่งเป็นคนที่คอยควบคุม ถือว่ามีความเป็นส่วนตัวเมื่อเทียบกับระบบธนาคารในปัจจุบัน แต่ข้อเสียก็ยังมีครับ เช่นเรื่องการโอนเงินผิด ในกรณีนี้ก็จะไม่สามารถกู้กลับคืนมาได้เพราะเพราะมันไร้ศูนย์กลางควบคุม
6. ราคาไม่ยึดติดกับ Economy System ของประเทศใดประเทศหนึ่ง
เนื่องจากบิทคอยนั้นสามารถแลกเปลี่ยนหรือซื้อขายได้อย่างอิสระ โดยสามารถซื้อขายผ่านตลาดเป็นตัวกลาง หรือซื้อขายกันเองก็ได้ ทำให้มันมีอิสระของราคา โดย อุปสงค์และอุปทาน (Demand/Supply) นั้นกำหนดอย่างแท้จริง ซึ่งมันจะไม่เหมือนดัชนีแลกเปลี่ยนทั่วไป ยกตัวอย่างเช่น USD/JPY หรือดัชนีอื่นๆ ที่ราคาของดัชนีจะเกิดจากสถานะการของเศรษฐกิจในประเทศนั้นๆ ผมขอยกตัวอย่างให้เข้าใจแบบนี้นะครับ สมมุติว่า ดัชนีเงินเยนนั้นกำลังแข็งค่ามากขึ้น สิ่งที่รัฐบาลญี่ปุ่นจะต้องทำคือทำให้เกิดความเสถียรภาพของค่าเงินประเทศตัวเองนั้นอยู่ระดับปานกลาง เพื่อที่จะได้ไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจประเภทนำเข้าและส่งออกครับ การที่บิทคอยนั้นไม่ได้ยึดติดกับระบบเศรษฐกิจของประเทศใดประเทศหนึ่งนั่นหมายความว่าราคาของบิทคอยนั้นจะอิสระมากกว่าดัชนีแลกเปลี่ยนทั่วไป เพราะไม่มีเพดานของราคาที่แน่นอน
7. การใช้งานบิทคอยที่เพิ่มจำนวนสูงขึ้น
ปริมาณของการทำธุรกรรมในเครือข่าย Bitcoin เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว. สินค้าและบริการอื่น ๆ ในอนาคตมีแนมโน้มสูงขึ้นที่จะสามารถซื้อได้ผ่านบิท bitcoin แม้ที่บริษัท Tesla ก็ยอมรับการซื้อรถยนต์ผ่าน Bitcoin แล้ว ในละตินอเมริกาและแอฟริกาใต้ตัวเลขการเติบโตของการใช้งาน Bitcoin เป็นที่น่าประทับใจ ในประเทศจีน Bitcoin จะใช้มากขึ้นที่จะย้ายเงินทุนออกจากประเทศ รายงานล่าสุดการใช้งานของ Bitcoin ยังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในอินเดีย นอกจากนี้ยังมีหลายๆประเทศใช้บิทคอยในการผูกมูลค่าเงินกับบิทคอยแทนดอลล่าแล้ว
8. ตลาดแลกเปลี่ยนที่เกิดขึ้นใหม่อย่างต่อเนื่องและกลุ่ม StartUp ที่กำลังเติบโต
ในช่วง 1–2 ปีมานี้ แม้แต่ประเทศไทยเองที่เคยมีประกาศการต่อต้านบิทคอย หรือห้ามทำการแลกเปลี่ยน ซื้อ-ขาย ภายในประเทศก็ได้ถูกยกเลิกลงไปแล้ว โดยประกาศใหม่นี้อนุญาติให้ทำการซื้อขายบิทคอยได้แล้ว โดยให้บิทคอยเปรียบเสมือนสินทรัพย์ดิจิตอล แต่ไม่ใช่เงินตรา และก็ทำให้หลายๆบริษัทได้ให้ความสนใจ และเกิดบริษัทด้านการเงินน้องใหม่เพิ่มขึ้นยกตัวอย่าง ธุรกิจส่งเงินไปต่างประเทศ, ธุรกิจขุดบิทคอย, ตลาดแลกเปลี่ยนบิทคอย และอีกมากมาย เพื่อตอบสนองความต้องการของบิทคอยในอนาคต เรียกว่า FinTech
9. เงินสดถูกลดมูลค่า และอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น
อัตราเงินเฟ้อหากพูดลอยๆก็คงไม่น่ากลัวเท่าไหร่ แต่อย่าลืมว่าอัตราเงินเฟ้อที่ถีบขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากการทำ QE หรือการเพิ่มจำนวนของเงินนั้นสูงขึ้นแต่มูลล่ากับลดลง เมื่อเทียบกับการซื้อของ 1 ชิ้นจะต้องใช้เงินที่มากขึ้นตาม ผมขอเทียบกับก๋วยเตี๋ยว 1 ชามในปี 2530 ก๋วยเตี๋ยวจะอยู่ที่ราคาราวๆ 5 บาท และในปัจจุบันชามละ 40 บาทในปี 2559 นั่นหมายความว่า อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 8 เท่า !! ในทุกๆ 29 ปีโดยประมาณ นั่นหมายความมูลค่าของเงินเราที่อยู่ในธนาคารนั้นได้ลดลงทุกๆวันและคำนวนโดยประมาณแล้วมูลค่ามันหายไป 8 เท่า ไม่ว่าเราจะทำงานอย่างหนักเพื่อให้มีรายได้ที่มากเท่าไหร่ก็ไม่สามารถสู้อัตราเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นในทุกๆวันได้แต่การถือครองบิทคอยนั้นให้ผลตอบแทนมากกว่าอสังหา 6 เท่าในตอนนี้
10. แนวโน้มความน่าเชื่อถือส่งผลดีมากขึ้น
คนเริ่มหันมาศึกษาบิทคอยมากขึ้นและทุกคนเริ่มให้ความสนใจบิทคอยมากขึ้นทำให้ช่วงหลังๆทำให้บิทคอยนั้นได้รับความน่าเชื่อถือเป็นไปในทิศทางบวก ผนวกกับหลายๆประเทศเริ่มยอมรับบิทคอยแล้ว
การแลกเปลี่ยนหรือค้าขาย Bitcoin อย่างเป็นทางการเริ่มต้นในปี 2010 และนับตั้งแต่ราคาของ Bitcoin ได้นั่งรถไฟเหาะตีลังกา ราคาของการแลกเปลี่ยนเริ่มต้นที่ประมาณ 0.1 ดอลลาร์ต่อ Bitcoin ณ ปัจจุบันคือ 630 ดอลล่าต่อ Bitcoin ถ้าหากเราย้อนดูกราฟประวัติศาสตร์ของบิทคอยจะเห็นว่า มีช่วงหนึ่งที่ราคา Bitcoin ถีบตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยะสำคัญ เป็นเรื่องที่ตื่นเต้นเป็นอย่างมากสำหรับนักลงทุนที่มองหาโอกาสทำกำไร
ที่มา https://siamblockchain.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น