“Bitcoin” สกุลเงินใหม่ สะดวกหรือเสี่ยง? ในโลกออนไลน์

“Bitcoin” สกุลเงินใหม่ สะดวกหรือเสี่ยง? ในโลกออนไลน์

ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีผู้สนใจเรื่อง “BitCoin” เป็นจำนวนมาก วันนี้ MThai News จึงขอนำเสนอเรื่องราวนี้ “BitCoin” หรือบิทคอยน์ เป็นสกุลเงินดิจิตอล หรือเงินที่กำหนดใช้ในโลกออนไลน์ หรือโลกเสมือนจริง “BitCoin”  เปรียบเสมือน เงินธนบัตร แต่ไม่มีการควบคุมจากธนาคารกลางและไม่มีทุน หลักทรัพย์ หรือทองคำใดๆมารองรับ เหมือนเงินสกุล อื่นๆทั่วโลก ถึงขนาดที่กลุ่มแฮกเกอร์บอกว่า “BitCoin” เป็นสกุลเงินตราในฝันสำหรับพ่อค้าออนไลน์เลยทีเดียว แล้วในความเป็นจริง เป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่มาดูกัน


การยอมรับของ “Bitcoin” ในเมืองไทยนั้น แม้ว่าจะเริ่มมีเว็บไซต์เกิดขึ้นมาทำการซื้อขายผ่านสกุลเงินดังกล่าวก็ตาม แต่ไม่นานนี้ประมาณ 1 สัปดาห์ ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ออกมากประกาศว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่รับรองว่า “BitCoin” เป็นสกุลเงิน ที่ถูกกฏหมายในประเทศไทย เพราะมีความเสี่ยงอย่างมาก มีโอกาสที่บริษัทที่ตั้งขึ้นมารองรับการซื้อขายผ่านระบบสกุลเงิน “BitCoin”จะเจ๊งโดยง่าย เพราะไม่มีหลักทรัพย์ใดๆ หรือทองคำมารับประกันมูลค่าจริงๆของ “BitCoin” มูลค่าเงินที่กำหนดก็สูญหายได้ง่าย หากบริษัทเจ๊งขึ้นมา นี่คือเรื่องจริงที่แบงก์ชาติล้อมคอกไว้ก่อนหรับในเมืองไทย แต่หากยังไม่กลัวก็ตามมาดูกันต่อ

BitCoin เกิดขึ้นเมื่อไร และทำงานอย่างไร

“BitCoin” เกิดขึ้นในปี พ.ศ.2509 โดยนักพัฒนานิรนาม ที่ใช้ชื่อว่า นายซาโตชิ นากาโมโตะ (Satoshi Nakamoto) ชาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่น บุคคลปริศนาซึ่งนักข่าวเชื่อว่าเป็นบิดาผู้ก่อตั้ง “BitCoin” และได้พยายามตามสัมภาษณ์ก็ตาม แต่ถูกปฎิเสธทุกครั้งที่ตามไป ที่สำคัญชื่อนี้ตั้งขึ้นมาเป็นนามสมมติในโครงการสร้าง “BitCoin” นั่นเอง
A Bitcoin wallet on a smartphone.
แต่อย่างไรก็ตามสกุลเงินแห่งโลกดิจิตอลนี้ มีการนำมาใช้ซื้อขายแลกเปลี่ยนกันอย่างแพร่หลายบนโลกออนไลน์ในปัจจุบัน จากจุดประสงค์ของผู้พัฒนาระบบ คือต้องการ ให้เป็นสกุลเงิน (Currency) ที่เป็นอิสระจริงๆ ไม่ใช่เป็นของรัฐใดรัฐหนึ่ง หรือธนาคารใดๆ ผู้ถือครองสกุลเงินนั้นๆ ต้องมีความอิสระ ในการนำเงินนั้นไปแลกเปลี่ยนกับอะไรก็ได้ โดยที่ไม่เกี่ยวกับ เชื้อชาติ ศาสนา หรือภูมิลำเนา และผู้ถือ “BitCoin”  ก็ไม่จำเป็นต้องแสดงตัวว่าตัวเองเป็นใคร  ในการแลกเปลี่ยนแต่ละครั้ง และที่สำคัญต้องไม่มีใครมีสิทธิ์จะ”พิมพ์เงิน” มาตามใจชอบได้ มวลชนคือเจ้าของที่แท้จริงของสกุลเงิน ซึ่งต่างจากสกุลเงินปัจจุบันที่เป็นแบบ Fiat Currency คือมีค่าเพราะว่า รัฐหรือธนาคารรับรอง
kytarnL
การใช้งานระบบสกุลเงินนี้ เริ่มจากคุณดาวน์โหลดโปรแกรมชื่อ bitcoin wallet หรือจะเรียกว่า กระเป๋าเงินบิทคอยน์ ซึ่งโปรแกรมจะสร้าง address หรือเรียกง่ายๆว่า สร้างเลขที่บัญชีของคุณ โดยเป็นของคุณโดยเฉพาะ และเวลาคุณขายสินค้าผ่านออนไลน์ได้ ผู้ซื้อจ่าย “BitCoin” มาให้ยัง bitcoin address ของคุณ ถ้าจะเทียบเคียงก็คือ
bitcoin wallet      คือ     สมุดบัญชี
Address               คือ     เลขที่บัญชีธนาคาร
Block chain           คือ     ไฟล์ ที่ใช้ในการบันทึกข้อมูลการฝากถอนเงินของทุกๆคน
Bitcoin                   คือ      เงินธนบัตร
wallet Card            คือ      รหัส 34 ตัวอักษร สำหรับเจ้าของบัญชี
ราคาของ   “BitCoin” 1 หน่วย  ขึ้นมาถึง 200 ดอลลาร์สหรัฐในปัจจุบัน จาก 20 ดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงเริ่มต้น ซึ่งมูลค่าขึ้นเร็วมากปีหนึ่งขึ้นทีละ 100  ดอลลาร์สหรัฐ ก็ขยับมูลค่าขึ้นรวดเร็ว ก็เสี่ยงที่มูลค่าจะลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน
Bitcoin03
ซึ่งหากเป็นธนาคาร ก็จะบันทึกข้อมูลคุณไว้ในระบบของธนาคาร แต่ว่า ระบบของ “BitCoin”จะถูกบันทึกไว้ในระบบชื่อว่า “Block Chain” ซึ่ง Block Chain จะมีข้อมูลของทุกรายการธุรกรรม ที่เคยเกิดขึ้นทั้งหมด และด้วยมูลค่าที่เพิ่มอย่างรวดเร็ว ก็มีพวกหัวเส คิดเก็งกำไรค่าเงิน “BitCoin” กัน ความเสี่ยงจึงสูงมากๆ หากมูลค่าตกลงมาเร็วเหมือนขาขึ้น ที่สำคัญบริษัทที่รองรับการทำธุรกรรมการเงินังกล่าวมีความน่าเชื่อถือเพียงไร

ความเสี่ยงจากอาชญกรโลกออนไลน์

ที่สำคัญการเริ่มต้นใช้ก็ไม่ง่าย ด้วยความน่าเชื่อถือไม่มีในช่วงแรกๆ จึงมีการผูกติดสกุลเงินของคุณกับบัตรเครดิตของคุณ ในบางประเทศ และเกิดการแฮกข้อมูลบัตรเครดิตเกิดขึ้น เพื่อขโมยเงินจริงๆกันไปแล้ว
สกุลเงิน“BitCoin”ยังมีข่าวอื้อฉาวไปทั่วโลกในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจาก “บริษัทเมาท์กอกซ์” ซึ่งรับซื้อขายแลกเปลี่ยนบิทคอยน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกของญี่ปุ่น ได้ประกาศล้มละลาย ขณะที่เว็บไซต์ “เฟล็กซ์คอยน์” ซึ่งเป็นธนาคารบิทคอยน์ ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในแคนาดา ก็ประกาศปิดตัวลง เนื่องจากปัญหาการโจมตีระบบของอาชญากรบนโลกไซเบอร์
ล่าสุดมีข่าวว่า ตำรวจของสิงคโปร์กำลังสอบสวนการเสียชีวิตอย่างปริศนาของ ออทัมน์ แรดท์เก สตรีชาวอเมริกันวัย 28 ปี เจ้าของธุรกิจรับซื้อขายแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิตอล ซึ่งรวมถึงบิทคอยน์ ในประเทศแถบเอเชียว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญกรรมออนไลน์หรือไม่
ku-xlarge
นอกจากนี้สกุลเงินใหม่นี้ เป็นช่องทางของมิจฉาชีพในการฟอกเงิน เพราะไม่มีรัฐบาลใดควบคุม ซึ่งมีร้านค้าหลายๆร้าน ทาง Online ก็รับเงิน “BitCoin” เพราะมีข้อดีคือ ค่าธรรมเนียมในการรับจ่าย “BitCoin” ต่ำมากๆ นอกจากนั้นสินค้าหลายๆอย่างที่สินค้าใต้ดิน เช่นพวกยาเสพติด ก็สามารถซื้อขายผ่าน“BitCoin” ได้
สำนักข่าวต่างประเทศจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐรายงานมาในช่วง 2 ปีก่อน ว่า รัฐบาลสหรัฐได้ยึดเงิน “บิทคอยน์” มูลค่า28 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือราว 868 ล้านบาทจากเจ้าของ “บริษัทซิลค์ โรด” ตลาดออนไลน์ ที่ทำธุรกรรมด้านยาเสพติดและอาชญากรรมอื่นๆ ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่ของรัฐปิดไปก่อนหน้านี้ อัยการรัฐนิวยอร์กบอกว่า เงิน 144,336 บิทคอยน์ ถูกพบอยู่ในคอมพิวเตอร์ของ รอสส์ วิลเลียม อุลบริทช์ หรือรู้จักกันในออนไลน์ว่า เดรท ไพเรท โรเบิร์ตส์ ซึ่งถูกจับกุมเมื่อวันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา ในนครซานฟรานซิสโก และเผชิญข้อหาหลายกระทง
 นับตั้งแต่เริ่มดำเนินการในปี 2554 ซิลค์ โรด ได้ตั้งเว็บไซต์นิรนามขึ้นมา เพื่อให้นักค้ายาเสพติด นักปลอมเงิน และอาชญากรอื่นๆ เข้ามาทำธุรกรรมตั้งแต่ค้าเฮโรอีนไปจนถึงมือปืนรับจ้าง โดยมีคนเข้าไปลงทะเบียนใช้เว็บดังกล่าวกว่า 900,000 ราย และติดต่อค้าขายยาเสพติดโดยใช้เงินบิทคอยน์  โดยเรื่องอื้อฉาวนี้ ล้วนสั่นคลอนความเชื่อมั่นในสกุลเงินดิจิตอล แม้ผู้สนับสนุนจะพยายามบอกว่า จะเข้ามาช่วยให้การทำธุรกรรมทางการเงินทั่วโลกเป็นไปได้อย่างสะดวกราบรื่นมากยิ่งขึ้นก็ตาม
virtual-money
ผู้อ่าน คนเห็นแล้วว่า “ความเสี่ยงมีรอบด้าน” ทั้งจากแฮกเกอร์ข้อมูลทั้งหลาย จากพวกมิจฉาชีพ ซ้ำรัฐบาลหลายประเทศยังไม่ยอมรับ ดังนั้นผู้เขียนจึงขอให้ทุกคนตระหนักและระมัดระวัง หากถูกชักชวนไม่ว่าจากทางใดก็ตามให้ใช้เงินสกุลใหม่ที่ว่าซื้อขายผ่านระบบออนไลน์ ก็ต้องศึกษาให้รอบด้าน ทางที่ดีโทรสอบถามจากธนาคารแห่งประเทศไทยดีที่สุดแต่หากยังมีคนที่สนใจสามารถดูวีดีโออธิบายเรื่อง Bitcoin 
ที่มา https://news.mthai.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น